หากใครเลื่อนฟีด TikTok หรือ Facebook ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่พ้นที่จะเห็นภาพเค้กสีส้มอมเหลืองที่มีไก่หยองโรยหน้า นั่นคือเมนู เค้กไก่หยอง ที่กลายเป็นไวรัลและสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในวงการโซเชียลมีเดียไทย โดยเค้กไก่หยองมีต้นกำเนิดจากร้านเบเกอรี่ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นขนมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีรสชาติอร่อย และ ไม่ซ้ำใคร เมื่อเข้ามาสู่ตลาดไทย เค้กชิ้นนี้ก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสไวรัล การแพร่กระจายของเค้กไก่หยองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านคลิปรีวิวของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และ TikToker หลายช่อง ทำให้เค้กชิ้นนี้กลายเป็นหนึ่งในเมนูที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดียไทย
สถิติของคนไทยกับโซเชียลมีเดีย
Source: Data Reportal
ข้อมูลจาก Data Reportal ชี้ให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียยังคงเป็นพื้นที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทย และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการสื่อสาร ไลฟ์สไตล์ และการจับจ่ายใช้สอย เมื่อต้นปี 2025 ประเทศไทยมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียถึง 51 ล้านคน หรือคิดเป็น 71.1% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านคน หรือ 2.8% จากปี 2024 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดดิจิทัลไทยยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง และยังมีโอกาสสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง ซึ่งคนไทยใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 7 ชั่วโมง 58 นาทีต่อวัน ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นหมายความว่าผู้บริโภคไทยมีการอยู่บนโลกดิจิทัลเกือบตลอดวัน ตั้งแต่การติดตามข่าวสาร ความบันเทิง ไปจนถึงการซื้อสินค้าออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมที่คนไทยใช้ ได้แก่
- Facebook ประชากรจำนวน 7% ของกลุ่มผู้ใช้อายุ 16-64 ปี ใช้ Facebook เป็นแพลตฟอร์มหลักในการสื่อสาร การอัปเดตชีวิตประจำวัน และติดตามแบรนด์
- LINE ประชากรจำนวน6% ใช้ LINE เพื่อการสื่อสารกับครอบครัว เพื่อน และแบรนด์ส่วนมากยังใช้ LINE OA (Official Account) เป็นหนึ่งในเครื่องมือ CRM สำคัญที่สามารถเชื่อมแบรนด์กับลูกค้าเข้าด้วยกัน
- TikTok ประชากรจำนวน7% ใช้ TikTok ทำให้แพลตฟอร์มนี้ไม่ใช่แค่แหล่งรวมความบันเทิงอีกต่อไป แต่ยังเป็นช่องทางการตลาดและการขายที่แบรนด์จำนวนมากหันมาใช้สร้าง Awareness และปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Source: Data Reportal
ปรากฏการณ์ FOMO ในสังคมไทย
Source: Data Reportal
จากการศึกษาพฤติกรรมของคนไทยในโซเชียลมีเดีย พบว่า 31.5% ของคนไทยมีอาการ FOMO (Fear of Missing Out) หรือความกลัวที่จะพลาดสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลัวตกเทรนด์ที่มักเริ่มต้นบน TikTok, X หรือ Facebook โดยตัวเลขนี้หมายความว่าแทบหนึ่งในสามของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทยพร้อมที่จะมีพฤติกรรมรีบตามกระแส เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกหลุดวงสนทนาหรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ลองนึกภาพเวลามีเพื่อนในกลุ่มเริ่มแชร์รูปขนมที่เพิ่งดังในโซเชียล เช่น เค้กไก่หยองที่มีวิดีโอไวรัลจนกลายเป็นกระแสใน TikTok ทุกคนแห่กันไปซื้อหน้าร้าน ถ่ายวิดีโอ และรีวิวรสชาติ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมถ้าไม่ได้ลองถือว่าพลาด
อาการ FOMO ยังเชื่อมโยงกับการแสดงออกทางสังคมบนโลกออนไลน์ โดยคนจำนวนมากไม่ได้อยากกินเค้กไก่หยองเพราะหิว แต่เพราะอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาและโพสต์ตามกระแส เมื่อเห็นว่าเพื่อนรอบตัวแชร์ภาพหรือวิดีโอแล้วได้รับยอด Engagement สูง เช่น ยอดไลก์หรือคอมเมนต์ คนอื่นก็อยากจะมีโมเมนต์แบบนั้นบ้าง การบริโภคเค้กไก่หยองจึงไม่ใช่เพียงการกินของอร่อย แต่เป็นการแสดงให้คนที่ติดตามเห็นว่าเราทันกระแส ไม่ตกเทรนด์ และยังเป็นการยืนยันว่าเราอยู่ในวงสังคมเดียวกันกับคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือพฤติกรรมนี้สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์และร้านอาหารสามารถใช้ FOMO เป็นเครื่องมือการตลาด ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีสินค้าใหม่ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ไวรัลได้ เช่น แบรนด์มีวิธีการขายหรือการใส่บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างจากร้านทั่วไป ก็จะกระตุ้นให้คนไทยจำนวนไม่น้อยอยากรีบไปลองเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเทรนด์
เค้กไก่หยองกับจิตวิทยา FOMO
ปรากฏการณ์เค้กไก่หยองกลายเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโซเชียลมีเดีย พฤติกรรมผู้บริโภค และจิตวิทยา FOMO ในสังคมไทย โดยเมื่อคนหนึ่งโพสต์รีวิวลง TikTok หรือ Facebook ก็จะมีอีกหลายสิบ หลายร้อยคนที่อยากลองตามทันที ไม่ใช่เพราะแค่ขนมนั้นน่ากิน แต่เพราะไม่อยากรู้สึกตกกระแสหรือเป็นคนนอกวงของบทสนทนาในสังคมออนไลน์
จากสถิติของ Data Reportal พบว่าคนไทยกว่า 95% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด ใช้งานโซเชียลมีเดีย และมากถึง 31.5% ของผู้ใช้งาน ยอมรับว่ามีอาการ FOMO หรือกลัวพลาดสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการกลัวตกเทรนด์ โดยมีพฤติกรรมที่สังเกตได้ คือ
-
การแชร์ประสบการณ์
การบริโภคเค้กไก่หยองไม่ได้หยุดอยู่ที่รสชาติเพียงเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์ต้องถูกบันทึกและแชร์ออกไปบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การโพสต์รูปหรือวิดีโอรีวิวไม่เพียงแต่เป็นการเล่าความเห็นส่วนตัว แต่ยังเป็นการประกาศตัวตนว่าฉันคือคนทันกระแส ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับหลัก Social Proof หรือหลักฐานทางสังคม ที่ระบุว่ามนุษย์มักจะเลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่นเมื่อไม่แน่ใจในสิ่งที่ควรทำ ซึ่งเมื่อมีคนจำนวนมากรีวิวเค้กไก่หยอง ผู้บริโภคที่เห็นก็จะยิ่งรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมกับกระแสนี้คือสิ่งที่ควรทำเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าไม่อินเทรนด์
-
การหาร้านที่ขาย
FOMO ยังขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการค้นหามากขึ้นทันทีที่เทรนด์ถูกจุดติด โดยมีผู้คนจำนวนไม่น้อยสวมบทเป็นนักสืบโซเชียลค้นหาผ่าน Google Maps การกดดูรีวิวบน TikTok หรือการถามเพื่อนในกลุ่ม Facebook โดยเฉพาะแฮชแท็ก #เค้กไก่หยอง ที่มียอดการเข้าชมพุ่งสูงขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสร้าง Search Demand หรือความต้องการค้นหา ที่ช่วยให้ธุรกิจเล็ก ๆ ได้รับโอกาสในการเป็นที่รู้จักแบบไม่ทันตั้งตัว ร้านที่เคยเป็นเพียงร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ อาจมีลูกค้าเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพียงเพราะถูกรีวิว ตัวอย่างเช่น ร้าน Nalin Bakery ที่ขายอยู่บนแอปพลิเคชั่น E-GetS ที่จากเดิมเป็นร้านเล็ก ๆ แต่เมื่อมีคนรีวิวว่าเค้กไก่หยองร้านนี้อร่อย รสชาติเหมือนต้นฉบับที่ขายที่จีน ร้านก็กลายเป็นกระแสและขายหมดทุกวัน
Source: กินเก่งไปไหน
-
การเปรียบเทียบ
เมื่อกระแสโตขึ้น การได้ลองชิมเพียงอย่างเดียวกลับไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มโพสต์ รีวิวเชิงเปรียบเทียบ เช่น รสชาติร้าน A หอมกว่า แต่ร้าน B นุ่มกว่า หรือร้าน C มีไส้เยอะกว่า นี่คือการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสินค้าที่เพิ่งกลายเป็นเทรนด์ ซึ่งปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการบริโภคของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับ คุณค่าเชิงประสบการณ์ (Experiential Value) มากกว่าตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว การได้ลองหลายร้าน การได้มีความคิดเห็นของตัวเอง และการแชร์ออกไป เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าฉันมีสิทธิ์เป็นผู้ตัดสิน
Source: Mookmukee
-
การขยายตัว
แรงกดดันจากกระแสไม่เพียงส่งผลต่อผู้บริโภค แต่ยังลามไปถึงผู้ประกอบการด้วย ซึ่งร้านเบเกอรี่และคาเฟ่จำนวนมากถึงขั้นต้องรีบพัฒนาเมนูเค้กไก่หยองเป็นเวอร์ชันของตัวเอง แม้บางร้านไม่เคยทำเค้กแนวนี้มาก่อน ก็ยังต้องลงสนามเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าล้าสมัย นี่คือตัวอย่างของ FOMO ฝั่งธุรกิจที่ไม่อยากพลาดโอกาสทองในการเกาะกระแส เพราะรู้ว่าหากไม่ทำอาจถูกมองว่าเชยและเสียโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่กำลังตื่นเต้นกับกระแส
Source: ICONSIAM
ผลกระทบต่อธุรกิจและสังคม
ด้านบวก
-
กระตุ้นเศรษฐกิจ
กระแสเค้กไก่หยองทำให้ร้านเบเกอรี่และคาเฟ่ที่เคยขายเฉพาะเมนูเดิม ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งหลายร้านมียอดสั่งล่วงหน้าหลายวัน บางร้านถึงขั้นต้องจ้างพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ ปรากฏการณ์นี้ยังช่วยให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านวัตถุดิบเบเกอรี่ ร้านบรรจุภัณฑ์ และแม้กระทั่งแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ มียอดขายสูงขึ้นตามไปด้วย ถือเป็นห่วงโซ่เศรษฐกิจขนาดเล็กที่เกิดขึ้นจากกระแสชั่วคราว แต่ส่งผลจริงต่อรายได้ของผู้คนจำนวนมาก
-
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
เค้กไก่หยองไม่ได้ถือกำเนิดในไทย แต่เป็นขนมที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน การที่ขนมนี้ได้รับความนิยมในไทยจึงเป็นเสมือนช่องทางวัฒนธรรมอาหารที่เชื่อมโยงผู้บริโภคไทยเข้ากับอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนอกจากนี้ยังเปิดประตูให้คนไทยพร้อมเปิดใจต้อนรับเทรนด์ขนมอื่น ๆ ที่อาจจะตามมาในอนาคต
-
การสร้างชุมชน
เมื่อผู้คนจำนวนมากมีประสบการณ์ร่วมกัน เช่น การชิมเค้กไก่หยอง ก็เกิดการรวมกลุ่มในโลกออนไลน์ เช่น การตั้งกลุ่ม Facebook การตามล่าเค้กไก่หยองร้านเด็ด หรือการพูดคุยใน X เกี่ยวกับร้านที่อร่อยที่สุด สิ่งนี้ก่อให้เกิด Micro-Community ที่มีความสนใจร่วมกัน เป็นพื้นที่ที่ผู้บริโภครู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งช่วยสร้าง Engagement ในสังคมและแบรนด์ไปพร้อมกัน
ด้านที่ควรพิจารณา
-
การบริโภคแบบชั่วคราว
แม้กระแสจะมาแรง แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นเพียงกระแสชั่วคราวเหมือนกับเทรนด์ขนมในอดีต เช่น ขนมปังเจ้าอร่อยเด็ดเยาวราช ชีสทาร์ตญี่ปุ่น หรือแม้แต่บราวนี่หนึบ ที่ได้รับความนิยมช่วงหนึ่งแล้วค่อย ๆ เงียบลง หากผู้ประกอบการลงทุนไปมากโดยไม่วางแผนรองรับหลังจากกระแสซา อาจเสี่ยงต่อปัญหาสต็อกค้างหรือยอดขายที่ตกลงอย่างรวดเร็ว
-
ความกดดันในการตามเทรนด์
FOMO ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกว่าถ้าไม่ลองถือว่าพลาด จนบางครั้งซื้อเพียงเพื่อโพสต์ ไม่ได้ซื้อเพราะความต้องการจริง ๆ สิ่งนี้อาจสร้างพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีแนวโน้มใช้เงินกับสิ่งที่เป็นกระแสมากกว่าสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ ฝั่งธุรกิจก็อาจรู้สึกกดดันเช่นกัน เพราะหากไม่รีบปรับตัวเข้าหากระแส ก็กลัวว่าจะเสียโอกาสหรือตกเทรนด์ไป
เมื่อมองลึกลงไป เค้กไก่หยองไม่ได้เป็นเพียงแค่ขนมที่เกิดขึ้นจากความอร่อย แต่สิ่งที่ทำให้กลายเป็นกระแสจนใคร ๆ ก็ต้องลอง ก็คือพลังของโซเชียลมีเดียและจิตวิทยา FOMO ที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพฤติกรรมการบริโภคในยุคดิจิทัลไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความต้องการจริงเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกผลักดันด้วยความกลัวที่จะพลาดโอกาส หรือความกังวลว่าจะไม่ทันเทรนด์เหมือนคนอื่น
สิ่งที่น่าสนใจคือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อธุรกิจและผู้ประกอบการ เช่น ร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ อาจกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เพราะกระแส FOMO ช่วยผลักดันการมองเห็น ในขณะเดียวกันแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่ปรับตัวทันก็สามารถใช้กระแสนี้สร้างสินค้าใหม่ สร้างความแตกต่าง และเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพา FOMO เพียงอย่างเดียวก็มีความเสี่ยง เพราะกระแสมักมาไวและไปไว ดังนั้นนักการตลาดและผู้ประกอบการจึงควรมองหาแนวทางที่จะเปลี่ยนกระแสชั่วคราวให้กลายเป็น Sustainable Value ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงขึ้น หรือการต่อยอดด้วยเมนูหรือสินค้าใหม่
สุดท้ายแล้ว เค้กไก่หยองคือกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่ทำให้เราเห็นถึงพลังของการตลาดดิจิทัล พลังของไวรัล และพลังของความกลัวที่จะพลาดโอกาสที่ผลักดันให้คนไทยพร้อมจะลองอยู่เสมอ หากธุรกิจเข้าใจและรู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนกระแสชั่วคราวให้กลายเป็นจุดแข็งที่สร้างยอดขายและความภักดีของลูกค้าในระยะยาวได้
หากคุณคือผู้ประกอบการ นักการตลาด หรือแบรนด์ที่ต้องการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมากขึ้น และอยากใช้ประโยชน์จากพลังของ FOMO และการตลาดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วโลกทั้งจีนและต่างประเทศ S39 Digital Agency พร้อมช่วยคุณสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม ตั้งแต่การวิเคราะห์เทรนด์ การทำแคมเปญไวรัล ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน
📩 ติดต่อเราตอนนี้
📞 02-248-3068 หรือ 061-153-5845 | 📧 info@s39digital.com
Source:
Digital 2025: Thailand (DataReportal)
รวมสถิติ Digial และการใช้ Social Media ในไทยประจำปี 2025 (Popticles.com)
ออนไลน์ = ชีวิต! คนไทยติดเน็ต 88% ใช้เวลา 7.58 ชม./วัน สรุป ‘เทรนด์’ ปี 2024 (The Standard)