ทำไมหลายแบรนด์ต้องเลือก “เจฟ ซาเตอร์” เป็นพรีเซนเตอร์

ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โฆษณา Mass Media อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัย Influencer Marketing ในการเชื่อมแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย การเลือกพรีเซนเตอร์จึงต้องเป็นคนที่สะท้อนและถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์ได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ เจฟ ซาเตอร์ (Jeff Satur) ศิลปินหนุ่มมากความสามารถที่เป็นพรีเซนเตอร์ตั้งแต่แบรนด์แฟชั่น สกินแคร์ ไปจนถึงแพลตฟอร์ม E-Commerce ซึ่งคำตอบอยู่ที่ Fandom Economy ที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของ Influencer Marketing

 

Fandom Economy คืออะไร

Source: TFR

Fandom มาจากคำว่า Fanclub รวมกับ Kingdom หมายถึงชุมชนของแฟนคลับ โดย Fandom คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับสิ่งที่พวกเขาเป็นแฟนคลับ ซึ่งสิ่งนั้นต้องสามารถเชื่อมโยงได้ สร้างแรงบันดาลใจได้ และเมื่อแฟนคลับรวมตัวกันเป็นกลุ่มเยอะ ๆ จึงเกิดคำว่า Fandom Economy ซึ่งหมายถึงระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแฟนคลับที่แตกต่างจากพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เพราะแฟนคลับไม่ได้ซื้อสินค้าเพียงเพื่อใช้งานตามฟังก์ชัน แต่ซื้อเพื่อแสดงการสนับสนุนศิลปินที่รักและสร้าง Emotional Connection (ความเชื่อมโยงทางอารมณ์) กับไอดอลของตัวเอง ดังนั้นพฤติกรรมการซื้อจึงไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลด้านราคา คุณภาพ หรือฟีเจอร์เพียงอย่างเดียว แต่มีคุณค่าทางอารมณ์เป็นตัวนำ

แฟนคลับจึงกลายเป็นผู้บริโภคที่มี Engagement สูงที่สุด โดยพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่การซื้อเพียงครั้งเดียว แต่พร้อมจะซื้อซ้ำ ซื้อจำนวนมากเพื่อแจกต่อ รวมถึงช่วยกันแชร์คอนเทนต์และเขียนรีวิว ทำให้กลายเป็นทีมการตลาดอาสาที่ทำงานแทนแบรนด์โดยที่แบรนด์ไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม ขณะเดียวกันสินค้าเองก็ถูกยกระดับจากการเป็นเพียงของใช้ ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุน

อีกหนึ่งมิติที่สำคัญคือ Fandom ทำหน้าที่เป็นเสมือน Distribution Channel ของแบรนด์ เพราะแฟนคลับจะช่วยกระจายข่าวสาร รีวิวสินค้า สร้างคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย และบางครั้งรวมพลังซื้อแบบกลุ่มเพื่อสร้างอิมแพ็กให้แบรนด์ติดเทรนด์ในเวลาอันสั้น ผลลัพธ์คือการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยแฟนคลับนั้นสามารถสร้างการรับรู้ (Awareness) การเปลี่ยนผู้สนใจเป็นผู้ซื้อ (Conversion) และความภักดีต่อแบรนด์ (Loyalty) ได้อย่างครบวงจร ซึ่งในมุมของธุรกิจนี่คือเหตุผลที่ทำให้ Fandom Economy กลายเป็นเครื่องยกระดับ Influencer Marketing จากเดิมที่เน้นเพียงการสร้างการรับรู้ ไปสู่การสร้างยอดขายจริงและรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค

 

ทำไมเจฟ ซาเตอร์ถึงสะท้อนความเป็น Fandom Economy ได้ดีที่สุด

  1. การเข้าถึงตลาดทั่วโลกกับฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นและพร้อมซัพพอร์ต

Source: Coeventmall

เจฟไม่ใช่ศิลปินที่มีชื่อเสียงเฉพาะในประเทศไทย แต่มีฐานแฟนคลับในหลายประเทศทั้งประเทศจีน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่างก็เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีวัฒนธรรมแฟนด้อมที่เข้มแข็งอยู่แล้ว การเลือกเจฟจึงไม่ต่างอะไรกับการที่แบรนด์ได้ Cross-border Marketing โดยอัตโนมัติ ซึ่งแบรนด์ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างฐานผู้บริโภคใหม่ในตลาดเหล่านี้ เพราะแฟนด้อมที่มีอยู่แล้วสามารถปรับเป็นฐานลูกค้าให้ทันที

ที่สำคัญคือแฟนคลับของเจฟพร้อมขับเคลื่อนกระแสบนโซโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ ความแข็งแกร่งของคอมมูนิตี้นี้ทำให้เจฟสามารถเชื่อมโยงเข้ากับทุกอุตสาหกรรมได้ ตั้งแต่่วงการบันเทิง แฟชั่น ไปจนถึงธุรกิจและไลฟ์สไตล์ โดยแฟนคลับผลิตคอนเทนต์เองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การรีวิวสินค้า คลิป TikTok การแกะกล่อง ไปจนถึงโพสต์แชร์ประสบการณ์การใช้งานจริงใน X (Twitter) และ Instagram โดยสิ่งเหล่านี้คือ Earned Media ที่แบรนด์ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา แต่กลับได้ Reach มหาศาลในระยะเวลาอันสั้น และที่น่าสนใจคือคอนเทนต์ที่แฟนคลับสร้างขึ้นยังมักถูกมองว่าจริงใจและน่าเชื่อถือกว่าโฆษณา ซึ่งทำให้สามารถผลักดันยอดขายได้ดีกว่าการทำสื่อแบบจ่ายเงินเพียงอย่างเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่แบรนด์เลือกเจฟเป็นพรีเซนเตอร์ ไม่ได้แค่ซื้อตัวบุคคลแต่คือการซื้อทั้งชุมชนแฟนคลับที่พร้อมจะเป็นพลังขับเคลื่อนทางการตลาดให้ทันที

  1. การส่งต่อความเชื่อมั่นจากศิลปินสู่แบรนด์

Source: Harper’s Bazaar Thailand

ความสัมพันธ์ระหว่างเจฟกับแฟนคลับไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความชื่นชอบในหน้าตาหรือเสียงเพลง แต่ถูกสร้างขึ้นจากความเชื่อมั่นและความจริงใจที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านผลงานที่มีเอกลักษณ์ การสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และการปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจริง ๆ ตลอดหลายปี สิ่งที่เจฟทำทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารอย่างจริงใจ การใส่ใจแฟน ๆ หรือการแบ่งปันความคิดส่วนตัว ทำให้แฟนคลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่ศิลปินที่อยู่บนเวที แต่เป็นคนใกล้ตัวที่เข้าถึงได้และเชื่อถือได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแฟนคลับจำนวนมากไม่เคยรู้จักหรือพบเจอเขาเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกสนิทสนมที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียวนี้ คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Parasocial Relationship หรือความสัมพันธ์แบบ รักข้างเดียวของแฟนคลับ ซึ่งมีพลังมหาศาลในเชิงการตลาด เพราะทำให้ทุกสิ่งที่เจฟเลือกหรือทำ กลายเป็นสิ่งที่แฟนอยากเลียนแบบและพร้อมสนับสนุนโดยไม่ตั้งคำถาม

เมื่อความไว้ใจระดับนี้ถูกสร้างขึ้นแล้ว การที่เจฟหยิบสินค้าใด ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ น้ำหอม เสื้อผ้า หรือแม้แต่แพลตฟอร์ม E-Commerce แฟนคลับจำนวนมากจะมองว่าสินค้านั้นน่าเชื่อถือและคุ้มค่าที่จะลองทันที โดยไม่ต้องใช้เหตุผลมากมาย นักการตลาดจึงอธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยสองคำสำคัญคือ Social Proof หมายถึงการที่คนมักจะเชื่อสิ่งที่คนอื่นเชื่อหรือเลือกใช้ โดยเฉพาะเมื่อคนนั้นคือคนที่เรายกย่องหรือไว้วางใจ และ Trust Transfer หมายถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลหนึ่งสามารถส่งต่อไปยังแบรนด์หรือสินค้าที่เขาใช้งานได้ ทำให้แบรนด์ได้รับการยกระดับความน่าเชื่อถือโดยอัตโนมัติ

สำหรับแบรนด์แล้ว Trust Transfer มีความหมายเชิงกลยุทธ์มาก เพราะสามารถย่นระยะทางการตัดสินใจของผู้บริโภค จากเดิมที่ต้องผ่านหลายขั้นตอน จากการเห็นโฆษณา ดูรีวิว เปรียบเทียบราคา และทดลองใช้ ให้กลายเป็นเส้นทางที่สั้นกว่า คือกระบวนการตัดสินใจแบบทางลัด โดยเจฟใช้ แฟนคลับเชื่อ และแฟนคลับซื้อ นี่คือเหตุผลว่าทำไมแคมเปญที่มีเจฟเป็นพรีเซนเตอร์จึงสามารถสร้าง Conversion ได้เร็วกว่าการโฆษณาแบบที่แบรนด์พูดเอง

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจฟเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์สกินแคร์บางตัว แฟนคลับจำนวนมากก็กดซื้อทันทีในวันเปิดตัวโดยไม่รอรีวิวจากผู้ใช้ทั่วไป นี่คือ Trust Transfer ที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ต่างจากโฆษณา TVC แบบดั้งเดิมที่ผู้บริโภคอาจยังลังเลและมองว่าเป็นการขายของ แต่เมื่อเจฟถือสินค้า แฟนคลับจะมองว่านี่คือการแนะนำจากคนที่ฉันเชื่อใจ

โดยปกติแล้ว การสื่อสารที่มาจากตัวแบรนด์เองมักเผชิญกับปัญหา Brand Trust Gap (BTG) คือช่องว่างของความเชื่อมั่นที่ทำให้ผู้บริโภคยังลังเล ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่แบรนด์พูดเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการโฆษณาเกินจริง ความไม่มั่นใจนี้มักกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การตัดสินใจซื้อยืดเยื้อหรือต้องพึ่งพารีวิวจากแหล่งอื่นมาช่วยยืนยัน

แต่เมื่อแบรนด์เลือกใช้พรีเซนเตอร์ที่มีความสัมพันธ์กับแฟนคลับ ช่องว่างนี้จะถูกปิดลงทันที เพราะผู้บริโภคเชื่อใจในตัวบุคคลอยู่แล้ว เมื่อเขาใช้หรือแนะนำสินค้า ความน่าเชื่อถือส่วนตัวก็จะถูกส่งต่อไปยังแบรนด์โดยอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Trust Transfer นั่นเอง สิ่งนี้ทำให้กระบวนการตัดสินใจซื้อสั้นลงและทรงพลังยิ่งกว่าการสื่อสารใด ๆ ที่แบรนด์พูดด้วยตัวเอง กล่าวคือ Trust Transfer คือการที่แบรนด์ไม่ได้ซื้อเพียงภาพลักษณ์ของเจฟ แต่ซื้อความน่าเชื่อถือที่เจฟสร้างสะสมมากับแฟนคลับ และนี่คือสินทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าการซื้อสื่อโฆษณาหลายสิบล้าน เพราะสามารถเปลี่ยนความรู้สึกเป็นการกระทำได้อย่างรวดเร็วและมีพลัง

  1. ผู้บริโภคตัดสินใจด้วยความรู้สึกมากกว่าคุณสมบัติสินค้า

Source: Thairath Money

หนึ่งในจุดแข็งของ Fandom Economy คือการที่การซื้อสินค้าไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลเชิงฟังก์ชันหรือราคาเป็นหลัก แต่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) ที่แฟนคลับมีต่อศิลปินที่รัก หากมองในเชิงจิตวิทยาผู้บริโภคจะเห็นว่าการซื้อไม่ใช่เพียงการแลกเปลี่ยนมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่คือการแสดงออกถึงความรู้สึกและตัวตนของผู้ซื้อด้วย

สำหรับแฟนคลับของเจฟ การกดซื้อสินค้าที่เจฟเป็นพรีเซนเตอร์ ไม่ได้หมายถึงการซื้อแค่สินค้าเพียงเท่านั้น แต่หมายถึง โอกาสในการสนับสนุนศิลปินที่ตัวเองรัก ทุกครั้งที่แฟนคลับควักเงินซื้อ แปลว่าแฟนคลับกำลังช่วยให้เจฟประสบความสำเร็จ ซึ่งนี่คือแรงจูงใจที่เหนือกว่าปัจจัยทางเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติของสินค้า ราคา หรือแม้แต่รีวิวจากผู้ใช้ทั่วไป

การใช้สินค้านั้นก็มีมิติที่ลึกไปกว่านั้น เพราะสินค้าชิ้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องมือในการแสดงออกทางสังคม การหยิบสินค้ามาใช้หรือถ่ายรูปแชร์บนโซเชียลคือการบอกว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแฟนด้อม ซึ่งการโพสต์ภาพหรือรีวิวไม่ได้ทำเพื่อให้คนอื่นรู้จักสินค้ามากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้โพสต์รู้สึกว่าได้มีตัวตนและมีส่วนร่วมในกลุ่มเดียวกับคนที่รักเจฟ

ในมุมการตลาด นี่คือการได้แรงดึงดูดทางอารมณ์ (Emotional Hook) ที่ทรงพลังที่สุด เพราะแบรนด์ไม่จำเป็นต้องแข่งขันที่ฟังก์ชันหรือราคาเพียงอย่างเดียว เช่น ต่อให้มีคู่แข่งในตลาดที่ขายสินค้าคล้ายกัน ราคาถูกกว่า หรือคุณภาพไม่ต่างกัน แต่ถ้าขาดสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับศิลปินอย่างเจฟ แฟนคลับก็ยังคงเลือกแบรนด์ที่เจฟเป็นตัวแทนอยู่ดี

Source: เรื่องของนิค

ตัวอย่างจากแบรนด์ NIVEA ที่เลือกเจฟมาเป็นพรีเซนเตอร์ แม้ว่าผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในตลาดมีมากมาย แต่เมื่อเจฟเป็นพรีเซนเตอร์ แฟนคลับก็พร้อมซื้อทันทีแม้จะยังไม่ได้อ่านรีวิว เพราะแรงผลักดันทางอารมณ์ชนะทุกเหตุผล ซึ่งในงานอีเวนต์บางครั้ง เราจะเห็นแฟนซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเจฟมากกว่าหนึ่งชิ้น ไม่ใช่เพราะต้องใช้จริง แต่เพราะยิ่งซื้อเยอะ = ยิ่งสนับสนุน

นี่คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ที่เลือกเจฟได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เพราะไม่เพียงได้ยอดขายจากประโยชน์เชิงการใช้งานของสินค้า แต่ยังได้ความภักดีที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก และเมื่อลูกค้าตัดสินใจด้วยอารมณ์เป็นหลัก ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคก็จะแน่นแฟ้นและยั่งยืนกว่ามาก

  1. ไอคอนทางวัฒนธรรมที่จุดกระแสสังคม

Source: Aroundonline

เจฟไม่ใช่เพียงศิลปินที่มีผลงานเพลงหรือการแสดง แต่ได้ก้าวข้ามจากคำว่าศิลปิน ไปสู่การเป็นไอคอนที่สะท้อนวิถีชีวิตและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ ซึ่งความเป็นไอคอน หมายถึงการที่บุคคลหนึ่งไม่เพียงสร้างผลงาน แต่ยังสามารถกำหนดความหมายทางสังคมจนกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนอยากเลียนแบบและหยิบมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนเอง

ในกรณีของเจฟเราเห็นสิ่งนี้ชัดเจนผ่านหลายมิติ ทั้งสไตล์การแต่งตัวที่แตกต่าง ทำให้เจฟกลายเป็นแรงบันดาลใจด้านแฟชั่น ทั้งแนวเพลงที่มีเอกลักษณ์ ทัศนคติที่กล้าเป็นตัวเอง และสื่อสารตรงไปตรงมาสะท้อนความคิดแบบคนรุ่นใหม่ที่ไม่กลัวความแตกต่าง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เจฟไม่ได้ถูกจดจำเพียงเพราะผลงาน แต่เพราะเขาเป็นตัวแทนของความจริงใจ ความกล้า และการยืนหยัดในตัวเอง ซึ่งเป็นคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญอย่างมาก

สำหรับแบรนด์แล้ว นี่คือคุณค่าที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินโฆษณา เพราะการที่เจฟเป็นไอคอน หมายถึงแบรนด์ที่ร่วมงานกับเจฟจะได้รับวัฒนธรรมที่เขาสร้างขึ้นไปด้วยทันที ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น เพลง หรือไลฟ์สไตล์ เมื่อแบรนด์เลือกเจฟ จึงไม่ได้ซื้อแค่ความดังชั่วคราว แต่คือการซื้อกระแสที่สามารถทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในประเด็นการพูดคุยของคนสังคมได้อย่างแนบเนียน

สิ่งนี้สะท้อนชัดเจนในโลกออนไลน์ ซึ่งมักเห็นแฟนคลับและผู้บริโภคแชร์คอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเจฟอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคลิป TikTok, Instagram Reels หรือโพสต์ใน X (Twitter) ทำให้ชื่อของเขาถูกพูดถึงซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกระแส และเมื่อแบรนด์เข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นก็จะถูกพูดถึงไปพร้อมกันด้วย ในชีวิตจริงเองก็เช่นกัน แฟนคลับหยิบสินค้าไปใช้หรือโชว์ต่อเพื่อน ๆ ในชีวิตประจำวัน จนแบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยโดยอัตโนมัติ

 

กรณีของเจฟ ซาเตอร์ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการเลือกพรีเซนเตอร์ในยุคปัจจุบันขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภคได้ดีที่สุด โดยเจฟไม่เพียงแต่เป็นศิลปินที่มีผลงานโดดเด่น แต่ยังเป็นตัวแทนของ Fandom Economy ซึ่งแฟนคลับของเจฟไม่ได้เป็นเพียงผู้ซื้อ แต่เป็นผู้สร้างคอนเทนต์ ผู้กระจายข่าวสาร และผู้ผลักดันให้แบรนด์กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยความสัมพันธ์นี้ทำให้แบรนด์ได้รับประโยชน์หลายด้าน ตั้งแต่การเข้าถึงตลาดต่างประเทศ ความน่าเชื่อถือจากศิลปิน สายใยทางอารมณ์ที่ทำให้คนซื้อด้วยใจมากกว่าด้วยเหตุผล ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับกระแสที่ทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในบทสนทนาของสังคม

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเลือกเจฟเป็นพรีเซนเตอร์คือการลงทุนในด้านวัฒนธรรมและอารมณ์ที่แบรนด์ไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองในระยะสั้น แต่สามารถยืมพลังจากศิลปินที่แฟนคลับเชื่อมั่นและรักได้ทันที นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายแบรนด์ ตั้งแต่สินค้า FMCG ไปจนถึง Luxury Fashion และแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างเลือกเจฟเป็นตัวแทน เพราะเจฟไม่ใช่แค่พรีเซนเตอร์ แต่คือ Strategic Marketing Asset ที่เชื่อมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคได้อย่างทรงพลัง

ในโลกการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วและความเปลี่ยนแปลง แบรนด์ที่สามารถเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Fandom Economy จะได้เปรียบอย่างมหาศาล และกรณีของเจฟ ซาเตอร์ คือบทพิสูจน์ว่า Influencer Marketing ที่ผสานกับพลังของแฟนด้อม สามารถยกระดับจากการสร้างการรับรู้ ไปสู่การสร้างยอดขาย ความภักดี และบทสนทนาทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

 

หากคุณอยากให้แบรนด์ของก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ Influencer Marketing ที่ไม่ได้หยุดแค่ Awareness แต่สร้าง Conversion Loyalty และ Conversation อย่างยั่งยืน S39 Digital Agency พร้อมที่จะช่วยคุณออกแบบกลยุทธ์ ตั้งแต่การเลือก Influencer ที่ใช่ การวิเคราะห์ Fandom Economy ของตลาดเป้าหมาย ไปจนถึงการออกแบบแคมเปญที่ดึงพลังแฟนด้อมมาเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจจริง

 

📩 ติดต่อเราตอนนี้

📞 02-248-3068 หรือ 061-153-5845 | 📧 info@s39digital.com

Source:

จาก Fandom สู่ Creator เมื่อด้อมยุคใหม่ไม่ใช่แค่บริโภค แต่ยังสร้าง Fan Content และพาผู้ชมไปด้วย (MARKETINGOOPS!)

ด้อม คืออะไร? เหตุใดหลายแบรนด์ดังเลือกใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ (TalkaTalka)

Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน (The Potential)

Social Proof คืออะไร? พร้อมเทคนิคการใช้ เพื่อยอดขายทะลุเป้า! (TalkaTalka)

Cultural Marketing การตลาดจาก ความเชื่อ และวัฒนธรรม ที่ถูกเล่าใหม่ (Everyday Marketing)

แชร์ :