De-Stress Economy เทรนด์ผู้บริโภคปี 2025 ที่แบรนด์ห้ามพลาด

ทุกวันนี้ความเครียดไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ทุกคนต้องเผชิญ เราทำงานหนักขึ้น พักผ่อนน้อยลง และอยู่ในสังคมที่เร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาหายใจ ความเครียดสะสมไม่ได้ส่งผลแค่กับสุขภาพจิตของคนคนเดียว แต่กลับกระทบกับทั้งระบบเศรษฐกิจ เพราะเมื่อคนเครียด หมดไฟ หรือไม่มีแรงทำงาน นั่นหมายถึงวันทำงานที่หายไปและประสิทธิภาพที่ลดลง และในยุคที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้วัดความสำเร็จจากเงินเดือนอย่างเดียว แต่เริ่มมองหาความสมดุลชีวิต (Work-Life Balance) และความสุขมากขึ้น เศรษฐกิจโลกจึงต้องเริ่มมองไปในทิศทางใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกของผู้คน

 

De-Stress Economy คืออะไร

Source: Peace Please

De-Stress Economy หรือเศรษฐกิจแห่งความสบายใจ คือแนวคิดเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ให้สุขภาพใจ ความสมดุลชีวิต และความสงบในใจ กลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับตัวเลขรายได้และ GDP แทนที่จะมองว่าการเติบโตหมายถึงการผลิตให้มากขึ้นหรือทำงานให้หนักขึ้นเพียงอย่างเดียว โดยแนวคิดนี้เชื่อว่าเมื่อผู้คนมีความสุข มีสมดุลระหว่างงานกับชีวิต และมีสุขภาพใจที่แข็งแรง พวกเขาจะมีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ มีแรงซื้อ และมีความตั้งใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) มองเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างเฉียบคม และจึงพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ De-Stress Economy ขึ้นมา โดยวางฐานบนแนวคิดการวัดความสำเร็จรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า GWB (Gross Well-being) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่คุณภาพชีวิต ความสุข ความปลอดภัย ความหวัง และความมั่นคงทางจิตใจของผู้คนมากกว่าการเติบโตทางตัวเลขเพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกที่สะท้อนว่า ผู้คนในปัจจุบันกำลังโหยหาความรู้สึกสงบและพื้นที่พักใจในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การทำกิจกรรมฟื้นฟูจิตใจ หรือการใช้เวลาในสถานที่ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

ข้อมูลระดับโลกยืนยันแนวโน้มนี้อย่างชัดเจน โดย 84% ของคนอายุ 16-24 ปีทั่วโลกกำลังมองหากิจกรรมหรือสถานที่ที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจ และตลาด Wellness Economy รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพจิต และไลฟ์สไตล์เชิงสุขภาวะ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 8.6% ต่อปี โดยตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความสุขมากกว่าความหรูหรา แต่ยังชี้ให้เห็นว่าความสบายใจกำลังกลายเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ที่สามารถสร้างรายได้และแรงขับเคลื่อนให้กับประเทศได้อย่างแท้จริง

De-Stress Economy จึงไม่ใช่แค่แนวคิดเพื่อให้ผู้คนมีชีวิตที่ช้าลงหรือผ่อนคลายขึ้นเท่านั้น แต่คือการปฏิวัติแนวคิดเศรษฐกิจแบบเดิม ที่มองว่าความสุขคือส่วนหนึ่งของกลไกการเติบโตไม่ใช่ผลลัพธ์ปลายทาง เมื่อผู้คนรู้สึกดีขึ้น ธุรกิจก็เติบโตขึ้น ชุมชนเข้มแข็งขึ้น และเศรษฐกิจโดยรวมก็ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วความสบายใจคือเชื้อเพลิงใหม่ของเศรษฐกิจโลกยุคหลังความเครียดนั่นเอง

 

Consumer Insight ที่ลึกกว่าตัวเลข

Source: Ananda

การใช้จ่ายในยุคนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลทางตรรกะเท่านั้น แต่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ (Emotional Motivation) คนยุคใหม่เลือกซื้อสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี เข้าใจตัวเอง หรือช่วยให้ชีวิตสมดุลมากขึ้น เช่น การซื้อของที่เกี่ยวกับสุขภาพใจ การท่องเที่ยวเชิงพักฟื้น การเข้าร่วมกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ หรือประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

โดยสิ่งที่ผู้บริโภคยุคนี้มองหาจากแบรนด์มี 3 อย่างหลัก ๆ คือ ความจริงใจ ความหมาย และความเชื่อมโยง พวกเขาอยากรู้ว่าแบรนด์ทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร แบรนด์ยืนอยู่บนคุณค่าแบบไหน และแบรนด์มีจุดยืนที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อหรือไม่ การสื่อสารเชิงคุณค่า (Purpose-driven Communication) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญ เพราะทำให้แบรนด์ไม่เพียงขายสินค้าได้ แต่สร้างความไว้วางใจได้ในระยะยาว

จากมุมมองนี้ โมเดล De-Stress Economy จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจจากการขายสิ่งที่เรามีไปสู่การขายความรู้สึกที่ผู้บริโภคต้องการ แบรนด์ที่เข้าใจความละเอียดอ่อนของความรู้สึก เช่น ความเหนื่อย ความโดดเดี่ยว หรือความต้องการพื้นที่ปลอดภัยทางใจ จะสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่ช่วยเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ได้จริง

นอกจากนี้ ความภักดีต่อแบรนด์ในยุคนี้ไม่ได้เกิดจากโปรโมชั่นหรือส่วนลด แต่เกิดจากประสบการณ์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีทุกครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ตั้งแต่โทนการสื่อสาร บรรยากาศของสินค้า ไปจนถึงบริการหลังการขาย ทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและเคารพความรู้สึกของเขาจะกลายเป็นทุนทางอารมณ์ (Emotional Capital) ที่สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว ซึ่งความเข้าใจผู้บริโภคในยุคนี้ไม่ได้วัดจากจำนวนยอดขาย หรือจำนวนคลิกต่อโพสต์อีกต่อไป แต่ต้องวัดจากคุณค่าที่แบรนด์ส่งต่อให้ผู้คนรู้สึก เพราะในยุค De-Stress Economy ที่ผู้บริโภคใช้ความรู้สึกเป็นตัวนำ ซึ่งแบรนด์ที่มอบความสบายใจได้ก่อน คือแบรนด์ที่ชนะใจได้ก่อน

 

กลุ่มเป้าหมายของ De-Stress Economy

CEA แบ่งกลุ่มผู้บริโภคศักยภาพสูงออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ซึ่งสะท้อนภาพของคนยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นกลุ่มที่ให้คุณค่ากับความสุข ความสมดุล และคุณภาพชีวิตมากกว่าความหรูหราหรือราคาสูงของสินค้า กลุ่มเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของโมเดล De-Stress Economy เพราะพวกเขาคือกลุ่มที่ใช้อารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อนการใช้จ่าย และมองความสบายใจเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

  1. Remote Workers & Digital Nomads

Source: 4 Corner Resources

กลุ่มคนทำงานอิสระ อายุ 28-45 ปี รายได้เฉลี่ย 50,000-150,000 บาทต่อเดือน พวกเขาคือแรงงานยุคใหม่ที่ไม่ยึดติดกับออฟฟิศ และเชื่อในแนวคิด Work from Anywhere ซึ่งไลฟ์สไตล์แบบนี้ทำให้ความต้องการของพวกเขาไม่ใช่เพียงที่พักชั่วคราว แต่คือสภาพแวดล้อมที่สร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิต พวกเขามักมองหาพื้นที่เงียบสงบ มี Wi-Fi ที่เสถียร คาเฟ่ที่ให้แรงบันดาลใจ และที่พักระยะยาวที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

  1. Wellness Seekers

Source: Bangkok Post

กลุ่มผู้บริหารหรือพนักงานระดับสูง อายุ 35-55 ปี รายได้ 80,000-300,000 บาทต่อเดือน พวกเขามักเป็นคนที่ผ่านความเครียดสะสมจากการทำงานมายาวนาน และเริ่มมองเห็นว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การทำงานหนัก แต่คือการได้พักกายพักใจอย่างแท้จริง โดยความต้องการของกลุ่มนี้คือบริการและสถานที่ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ เช่น สปาระดับพรีเมียม รีทรีตเพื่อสุขภาพ โปรแกรมดีท็อกซ์ อาหารออร์แกนิก หรือกิจกรรมดูแลจิตใจอย่างโยคะและสมาธิ

  1. Experience Collectors

Source: Fastwork

กลุ่ม Gen Y-Z อายุ 25-40 ปี รายได้ 40,000-100,000 บาทต่อเดือน คือคนที่ให้คุณค่ากับการสะสมประสบการณ์มากกว่าการสะสมทรัพย์สิน อยากลองสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่พักที่มีดีไซน์เฉพาะตัว กิจกรรมเชิงศิลปะ พื้นที่ครีเอทีฟ หรือคาเฟ่ที่โดดเด่นและถ่ายรูปได้สวย พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่การพักผ่อน แต่ต้องการเรื่องราวและความรู้สึกที่แตกต่างจากชีวิตประจำวันเพื่อแชร์ต่อบนโซเชียลและใช้เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต

  1. Corporate Retreat Groups

Source: Moniker

กลุ่มองค์กรที่จัดกิจกรรม Team Building, Workshop หรือ Corporate Outing โดยใช้งบประมาณตั้งแต่ 500,000-2,000,000 บาทต่อครั้ง กลุ่มนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจเชิงประสบการณ์ (Experience Economy) เพราะแต่ละกิจกรรมมักมีผู้เข้าร่วมหลายสิบถึงหลายร้อยคน จุดมุ่งหมายคือการสร้างทีมที่มีความสุขและเสริมพลังใจให้พนักงานหลังจากช่วงเวลาทำงานที่กดดัน บริษัทจึงมองหาสถานที่ที่ให้ทั้งบรรยากาศธรรมชาติ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน กิจกรรมสร้างสัมพันธ์ และที่พักคุณภาพ เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าการทำงานสามารถเชื่อมโยงกับความสุขได้

โดยข้อมูลตลาดปัจจุบันตอกย้ำว่าแนวโน้มเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ความต้องการเฉพาะกลุ่ม แต่กำลังกลายเป็นกระแสเศรษฐกิจหลักของภูมิภาค โดย Remote Workers ในไทยเติบโตถึง 40% ต่อปี อุตสาหกรรม Wellness Tourism มีมูลค่ากว่า 678,000 ล้านบาทต่อปี และตลาด Corporate Retreat เติบโตขึ้นถึง 25% หลังโควิด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าความต้องการพักใจของผู้คนทั้งไทยและต่างชาติ กำลังกลายเป็นเศรษฐกิจจริงที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ

กล่าวได้ว่า 4 กลุ่มนี้คือแรงขับเคลื่อนหลักของโมเดล De-Stress Economy เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้จ่ายเพื่อความฟุ่มเฟือย แต่ใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตและความรู้สึกดี ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่าอนาคตของเศรษฐกิจไทยจะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความเร่ง แต่ด้วยความสุขที่ยั่งยืน

 

De-Stress Economy จากเทรนด์สู่การเปลี่ยนเกมธุรกิจ

De-Stress Economy ไม่ใช่เพียงเทรนด์ชั่วคราวที่มาแล้วก็ไป แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดทางเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและสังคม จากเดิมที่การตลาดมักแข่งขันกันด้วยราคา โปรโมชั่น หรือฟีเจอร์ของสินค้า ตอนนี้แบรนด์จำเป็นต้องขยับเข้าสู่การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกแทน

การแบ่งกลุ่มผู้บริโภคด้วยเพศ อายุ หรือรายได้ เริ่มไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อในปัจจุบันไม่ใช่ข้อมูลประชากร แต่คืออารมณ์ ความรู้สึก และค่านิยม ผู้บริโภคจำนวนมากตัดสินใจซื้อจากสิ่งที่แบรนด์ทำให้รู้สึก เช่น ความอบอุ่น ความปลอดภัย หรือความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ใช่จากคุณสมบัติทางเทคนิคของสินค้า แบรนด์ที่มองเห็นมิติทางอารมณ์เหล่านี้และสื่อสารได้อย่างจริงใจ จะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้ลึกและยั่งยืนกว่าแบรนด์ที่ขายเพียงคุณสมบัติของสินค้า

ในบริบทธุรกิจยุคใหม่การขายของไม่ได้หมายถึงการแลกเปลี่ยนสินค้าอีกต่อไป แต่คือการแลกเปลี่ยนพลังงานทางความรู้สึก ซึ่งผู้บริโภคไม่ได้อยากได้ของใหม่ตลอดเวลา แต่อยากได้ความรู้สึกดีแบบใหม่ ๆ ที่ช่วยให้รู้สึกว่าชีวิตมีค่าและสบายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประสบการณ์ การเข้าร่วมกิจกรรม หรือแม้แต่การเลือกแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจนในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สร้าง Emotional Connection ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคได้จริงในยุค De-Stress Economy

 

ในวันที่ความสบายใจกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ แบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคเท่านั้นที่จะยืนได้อย่างยั่งยืน S39 Digital Agency เชื่อว่ากลยุทธ์ที่ดีต้องเริ่มจากการเข้าใจใจคน เราพร้อมช่วยให้แบรนด์สื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้บริโภคยุค De-Stress Economy ได้ ตั้งแต่การวาง Brand Positioning การคิดกลยุทธ์ การทำคอนเทนต์ ไปจนถึงการสร้างคอมมูนิตี้

 

📩 ติดต่อเราตอนนี้

📞 02-248-3068 หรือ 061-153-5845 | 📧 info@s39digital.com

Source:

รู้จัก De-stress Economy ‘เศรษฐกิจแห่งความสบายใจ’ รับยุคโลกเครียด (Bangkok Biz News)

ถอดรหัส De-Stress Economy เศรษฐกิจแห่งความสบายใจที่ภาคใต้กำลังสร้างขึ้น (Everyday Marketing)

 

แชร์ :